เมนู

อรรถกถาคุหัฏฐกสูตรที่ 2


คุหัฏฐกสูตร มีคำเริ่มต้นว่า สตฺโต คุหายํ นรชนผู้ข้องอยู่ใน
ถ้ำคือกาย ดังนี้.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ กรุงสาวัตถี ท่าน
ปิณโฑลภารทวาชะ ได้ไปยังพระราชอุทยานของพระเจ้าอุเทน ชื่ออาวัฏฏกะ
ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคาในกรุงโกสัมพี. อนึ่งท่านปิณโฑลภารทวาชะนี้แม้ในกาลอื่น
ก็เคยเข้าไปพักผ่อนที่พระราชอุทยานนั้นบ่อย ๆ เหมือนพระควัมปติเถระไปพัก
ผ่อน ณ ดาวดึงส์พิภพฉะนั้น ข้อนี้มีนัยดังกล่าวแล้วในอรรถกถาวังคีสสูตร.
ท่านปิณโฑลภารทวาชะนั้นนั่งพักกลางวัน ดื่มด่ำกับสมาบัติ ณ โคนต้นไม้
ร่มเย็นใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคานั้น.
ในวันนั้นพระเจ้าอุเทนเสด็จไปประพาสพระราชอุทยาน ทรงเพลิด-
เพลินอยู่ในพระราชอุทยาน ด้วยการฟ้อนรำขับร้องเป็นต้นตลอดวัน ทรงมึน
เมาเพราะดื่มจัด บรรทมเอาเศียรหมุนบนตักของหญิงคนหนึ่ง. บรรดาหญิง
นอกนั้นคิดว่าพระราชาบรรทมหลับแล้วจึงพากันสุกไปเก็บดอกไม้และผลไม้
เป็นต้นในพระราชอุทยาน ครั้นเห็นพระเถระแล้วจึงตั้งหิริโอตตัปปะห้ามกัน
เองว่าอย่าส่งเสียงดัง ค่อย ๆ พากันเข้าไปไหว้แล้วนั่งห้อมล้อมพระเถระ พระ
เถระออกจากสมาบัติแสดงธรรมแก่หญิงเหล่านั้น. หญิงเหล่านั้นต่างชื่นใจตั้งใจ
ฟังแล้วกล่าวว่า สาธุ สาธุ ดังนี้. หญิงคนที่นั่งเอาพระเศียรของพระราชาพาด

ตักคิดว่า แม่พวกเหล่านี้ทิ้งเราไปสนุกกัน เกิดริษยาในหญิงพวกนั้นจึงขยับขา
ให้พระราชาทรงตื่น. พระราชาครั้นทรงตื่นบรรทมไม่เห็นนางสนม รับสั่งถาม
ว่า พวกหญิงถ่อยเหล่านี้หายไปไหน. หญิงนั้นทูลว่า พวกเขาพากันไปด้วย
คิดว่า เราไม่สมอยากในพระทูลกระหม่อม จักไปรื่นรมย์กับสมณะ ดังนี้.
พระราชานั้นทรงพิโรธได้เสด็จมุ่งหน้าไปหาพระเถระ. หญิงเหล่านั้นเห็น
พระราชาบางพวกก็ลุกขึ้น บางพวกก็ไม่ลุกโดยทูลว่า ข้าเเต่มหาราช พวกหม่อม
ฉันจะฟังธรรมในสำนักขอนักบวช. เมื่อหญิงเหล่านั้นทูลอย่างนั้น พระราชา
ทรงพิโรธหนักขึ้นด้วยความเมาไม่ไหว้พระเถระเลย ตรัสถามว่า ท่านมาเพื่อ
อะไร. พระเถระถวายพระพรว่า เพื่อความวิเวก มหาบพิตร. พระราชาตรัสว่า
ท่านมาเพื่อความวิเวก นั่งให้พวกสนมแวดล้อมอยู่อย่างนี้แหละหรือ แล้วตรัส
ต่อไปว่า ท่านจงบอกวิเวกของท่านดูทีหรือ. พระเถระแม้ชำนาญในการกล่าวถึง
วิเวกก็ได้นิ่งเสียด้วยคิดว่า พระราชานี้ตรัสถามประสงค์จะรู้ก็หามิได้. พระราชา
ตรัสว่า หากท่านไม่บอก เราจะให้มดแดงกัดท่าน แล้วทรงเด็ดรังมดแดงที่
ต้นอโศกต้นหนึ่งเรี่ยรายลงบนพระกายของพระองค์ทรงเช็ดพระกายแล้วเด็ดรัง
อื่นมุ่งหน้าไปหาพระเถระ. พระเถระคิดว่า หากพระราชานี้ประทุษร้ายเราก็จะ
พึงไปอบาย จึงอนุเคราะห์พระราชา เหาะขึ้นสู่อากาศด้วยฤทธิ์ไปแล้ว. หญิง
ทั้งหลายเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อมพระราชาเหล่าอื่นเห็นบรรพชิต
แล้วก็พากันบูชาด้วยดอกไม้และของหอมเป็นต้น พระองค์สิกลับไม่พอพระทัย
โดยจะเอารังมดแดงไปบูชา ตระกูลวงศ์จะถึงความพินาศนะเพคะ. พระราชา
ทรงสำนึกโทษของพระองค์ จึงทรงนิ่งตรัสถามคนรักษาพระราชอุทยานว่า ใน

วันอื่นพระเถระยังจะมาในอุทยานนี้อีกไหม. คนรักษาพระราชอุทยานทูลว่า
มาพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงบอกเราในเวลาที่พระเถระมา.
วันหนึ่งเมื่อพระเถระมา คนเฝ้าพระอุทยานจึงทูลให้พระราชาทรงทราบ. พระ
ราชาก็เสด็จเข้าไปหาพระเถระตรัสถามปัญหาแล้ว ได้ถึงสรณะตลอดชีวิต.
ก็ในวันที่พระเถระถูกพระราชาไม่ทรงพอพระทัยโดยเอารังมดแดงมา
บูชา พระเถระเหาะไปทางอากาศแล้วดำลงไปในดินโผล่ขึ้น ณ พระคันธกุฎี
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระสติสัมปชัญญะสำเร็จ
สีหไสยาโดยพระปรัศว์เบื้องขวา ทอดพระเนตรเห็นพระเถระแล้วตรัสถามว่า
ดูก่อนภารทวาชะ เธอมาในเวลามิใช่กาลหรือ. พระเถระกราบทูลว่า ถูกแล้ว
พระเจ้าข้า แล้วจึงกราบทูลเรื่องราวนั้นทั้งหมดให้ทรงทราบ. พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงสดับดังนั้นแล้วจึงตรัสว่า การพูดถึงเรื่องวิเวกแก่พระราชาผู้ยังต้อง
การกามคุณ จักมีประโยชน์อะไรดังนี้ ทรงบรรทมด้วยพระปรัศว์เบื้องขวา
นั่นแหละ ได้ตรัสพระสูตรนี้ เพื่อทรงแสดงธรรมแก่พระเถระ.
ในบทเหล่านั้นบทว่า สตฺโต คือผู้ข้อง. บทว่า คุหายํ ในถ้ำคือ
ในกาย. จริงอยู่กายท่านเรียกว่าถ้ำ เพราะเป็นช่องให้สัตว์ร้ายมีราคะเป็นต้น
อยู่. บทว่า พหุนาภิฉนฺโน ถูกกิเลสเป็นอันมากปกปิดไว้ คือ ถูกกิเลสมี
ราคะเป็นต้นเป็นอันมากปกปิดไว้. ด้วยบทนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงเครื่อง
ผูกภายใน. บทว่า ติฏฺฐํ ตั้งอยู่คือตั้งอยู่ด้วยอำนาจกิเลสมีราคะเป็นต้น. บท
ว่า นโร คือ สัตว์. บทว่า โมหนสฺมึ ปคาฬฺโห หยั่งลงในกามคุณ
เครื่องทำจิตให้ลุ่มหลง ความว่า ท่านกล่าวกามคุณว่าเป็นเครื่องทำจิตให้ลุ่มหลง

เพราะเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมลุ่มหลงในกามคุณนี้ เป็นผู้หยั่งลงใน
กามคุณเหล่านั้น ด้วยบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงเครื่องผูกภายนอก.
บทว่า ทูเร วิเวกา หิ ตถาวิโธ โส ความว่า นรชนเห็นปานนั้น
เป็นผู้ไกลจากวิเวก 3 มีกายวิเวกเป็นต้น. เพราะเหตุไร. เพราะกามทั้งหลาย
ในโลกไม่ใช่ละได้โดยง่ายเลย. ท่านอธิบายว่า เพราะกามทั้งหลายในโลกเป็น
สิ่งที่จะพึงละได้โดยง่ายมิได้มี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงยกตัวอย่างให้เห็นว่า นรชนเห็นปานนั้นแล
เป็นผู้ห่างไกลจากวิเวก ในคาถาต้นอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงทำให้แจ้งถึงธรรมดา
ของสัตว์ทั้งหลายเห็นปานนั้นอีก จึงตรัสคาถาว่า อิจฺฉานิทานา กามคุณทั้ง
หลายมีความปรารถนาเป็นเหตุ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อิจฺฉานิทานา คือมีตัณหาเป็นเหตุ. บทว่า
ภวสาตพนฺธา เนื่องด้วยความยินดีในภพ คือเนื่องด้วยความยินดีในภพมีสุข
เวทนาเป็นต้น. บทว่า เต ทุปฺปมุญฺจา สัตว์เหล่านั้นอันคนอื่นเปลื้องออก
ให้ไม่ได้เลย คือธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดีในภพเหล่านั้น หรือสัตว์
ทั้งหลายมีความปรารถนาเป็นเหตุเนื่องด้วยความยินดีในภพนั้นเหล่านั้นเปลื้อง
ออกได้โดยยาก. บทว่า น หิ อญฺญโมกฺขา คือคนอื่นไม่สามารถจะเปลื้อง
ออกให้ได้. อีกอย่างหนึ่ง คำนี้เป็นคำแสดงการณะว่า สัตว์เหล่านั้นเป็นผู้
เปลื้องออกได้ยาก. เพราะเหตุไร. เพราะคนอื่นไม่พึงเปลื้องออกได้ ผิว่าคน
อื่นพึงเปลื้องออกได้ ก็พึงเปลื้องได้ด้วยกำลังของตนเอง นี้เป็นอธิบายของ
บทว่า น หิ อญฺญโมกฺขา นั้น . บทว่า ปจฺฉา ปุเร วาปิ อเปกฺข-
มานา
คือนรชนทั้งหลายหวังกามทั้งหลาย ในอนาคตบ้าง ในอดีตบ้าง.
บทว่า อิเมว กาเม ปุริเมว ชปฺปํ คร่ำครวญถึงกามเหล่านี้ที่เคยมีมาแล้ว

ความว่า ปรารถนากามเหล่านี้ที่เป็นปัจจุบัน หรือที่เคยมีมาแล้วแม้ทั้งสองอย่าง
คืออดีตและอนาคต ด้วยตัณหาอันแรงกล้า. พึงทราบการเชื่อมบททั้งสอง
เหล่านี้กับด้วยบทนี้ว่า เต ทุปฺปมุญฺจา น หิ อญฺญโมกฺขา ความว่า กาม
คุณทั้งหลายเปลื้องออกได้โดยยาก คนอื่นจะเปลื้องออกให้ไม่ได้เลย. นรชน
ทั้งหลายมุ่งหวังคร่ำครวญนอกเหนือไปจากนี้ไม่พึงประกาศว่า กำลังทำอะไร
หรือทำอะไรแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงยกตัวอย่างว่า ทูเร วิเวกา หิ ตถา-
วิโธ
ในคาถาต้นอย่างนี้ และทรงทำให้แจ้งถึงธรรมดาของสัตว์ทั้งหลาย
เห็นปานนั้น ด้วยคาถาที่สองแล้ว บัดนี้ทรงทำให้แจ้งถึงการกระทำบาปกรรม
ของสัตว์เหล่านั้น จึงตรัสคาถาว่า กาเมสุ คิทฺธา ยินดีในกามทั้งหลาย.
บทนั้นมีความดังต่อไปนี้. สัตว์เหล่านั้นยินดีในกามทั้งหลายด้วยอยาก
บริโภค ขวนขวายในกามทั้งหลาย เพราะขวนขวายในการแสวงหาเป็นต้น ลุ่ม
หลงอยู่ในกามทั้งหลาย เพราะถึงความลุ่มหลงพร้อม ไม่เชื่อถือถ้อยคำ เพราะ
ไม่เชื่อถือถ้อยคำของบัณฑิตมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เพราะความดูหมิ่น เพราะ
ความตระหนี่ ตั้งอยู่ในธรรมอันไม่สงบ มีความไม่สงบทางกายเป็นต้น ถูก
ทุกข์คือความตายครอบงำในกาลสุดท้าย ย่อมรำพันอยู่ว่า เราจุติจากโลกนี้แล้ว
จักเป็นอย่างไรหนอ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
เพราะเหตุนั้นแล สัตว์พึงศึกษา
ไตรสิกขาในศาสนานี้ พึงรู้ว่าสิ่งอะไร ๆ ใน
โลกไม่เป็นความสงบ ไม่พึงประพฤติความ
ไม่สงบเพราะเหตุแห่งสิ่งนั้น นักปราชญ์ทั้ง
หลาย กล่าวชีวิตนั้นว่า เป็นของน้อยนัก.

ในบทเหล่านั้น บทว่า สิกฺเขถ พึงศึกษา คือพึงศึกษาไตรสิกขา.
บทว่า อิเธว คือในศาสนานี้แหละ. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงถึงความเสื่อมของสัตว์ ผู้
ไม่ทำอย่างนั้น จึงตรัสคาถาว่า ปสฺสามิ เราเห็น ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปสฺสามิ คือเราเห็นด้วยตาเนื้อเป็นต้น . บท
ว่า โลเก ในโลก ได้แก่ อบายเป็นต้น. บทว่า ปริปฺผนฺทมานํ คือกำลัง
ดิ้นรนไปข้างโน้นข้างนี้. บทว่า ปชํ อิมํ คือหมู่สัตว์นี้. บทว่า ตณฺหาคตํ
คือถูกตัณหาครอบงำ อธิบายว่า ตกลงไป. บทว่า ภเวสุ ในภพทั้งหลาย คือ
ในกามภพเป็นต้น. บทว่า หีนา นรา คนเลว คือคนผู้มีการงานเลว. บทว่า
มจฺจุมุเข ลปนฺต บ่นเพ้ออยู่ในปากมัจจุราช คือบ่นเพ้ออยู่ในปากของความ
ตายที่มาถึงแล้วในที่สุด. บทว่า อวีตตณฺหาเส คือยังไม่ปราศจากตัณหา.
บทว่า ภวาภเวสุ ในภพน้อยภพใหญ่ได้แก่ในกามภพเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง
บทว่า ภวาภเวสุ ได้แก่ในภพและภพ. ท่านอธิบายว่าในภพทั้งหลายบ่อย ๆ.
บัดนี้ เพราะสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากตัณหาจึงดิ้นรนและพร่ำเพ้อ
อยู่อย่างนี้ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงชักจูงให้สัตว์ทั้งหลายกำจัด
ตัณหา จึงตรัสคาถาว่า มมายิเต ถือว่าสิ่งนั้น ๆ เป็นของเรา ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มมายิเต คือถือสิ่งนั้น ๆ ว่าเป็นของเรา
ด้วยตัณหาและทิฏฐิ. บทว่า ปสฺสถ ท่านทั้งหลายจงดู พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสเรียกผู้ฟังทั้งหลาย. บทว่า เอตมฺปิ คือโทษแม้นั้น. บทที่เหลือปรากฏ
ชัดแล้ว.

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงความยินดีในคาถาที่หนึ่งนี้และโทษ
ด้วย 4 คาถานอกนั้นอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อทรงแสดงการสลัดออกและอานิ-
สงส์ของการสลัดออก พร้อมด้วยอุบาย จึงทรงแสดงโทษ ความต่ำทรามและ
ความเศร้าหมองของกามทั้งหลายด้วยคาถาเหล่านี้ทั้งหมด เพื่อทรงแสดงถึง
อานิสงส์ในเนกขัมมะในบัดนี้ จึงตรัสสองคาถาว่า อุโภสุ อนฺเตสุ ในที่สุด
ทั้งสอง ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อุโภสุ อนฺเตสุ คือในการกำหนด 2 อย่าง
มีผัสสะและเหตุเกิดแห่งผัสสะเป็นต้น. บทว่า วิเนยฺย ฉนฺทํ ได้แก่ พึงกำจัด
ความกำหนัดด้วยความพอใจเสีย. บทว่า ผสฺสํ ปริญฺญาย กำหนดรู้ผัสสะ
ความว่า กำหนดรู้นามรูปทั้งสิ้น ด้วยปริญญา 3 คือ กำหนดรู้ผัสสะมีจักขุสัม-
ผัสสะเป็นต้น กำหนดรู้อรูปธรรมทั้งปวงอันประกอบด้วยผัสสะนั้นโดยทำนอง
เดียวกับผัสสะนั้นเอง และกำหนดรู้รูปธรรมด้วยสามารถเป็นวัตถุ ทวาร และ
อารมณ์ของอรูปธรรมเหล่านั้น. บทว่า อนานุคิทฺโธ คือไม่ยินดีในธรรม
ทั้งปวงมีรูปเป็นต้น. บทว่า ยทตฺตครหี ตทกุพฺพมาโน คือติเตียนตนเอง
เพราะข้อใด ไม่ควรทำข้อนั้น. บทว่า น ลิมฺปตี ทิฏฺฐสุเตสุ นักปราชญ์
ไม่ติดอยู่ในรูปที่ได้เห็นและเสียงที่ได้ฟัง ความว่า นักปราชญ์ถึงพร้อมด้วย
ปัญญาเห็นปานนั้น ไม่ติดด้วยการติด 2 อย่างแม้อย่างเดียว ในธรรมคือรูป
ที่ได้เห็นและเสียงที่ได้ฟัง ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ติด ถึงความผ่องแผ้วในที่สุดเหมือน
อากาศฉะนั้น.
คาถาว่า สญฺญํ ปริญฺญา กำหนดรู้สัญญามีความสังเขปดังต่อไปนี้.
กำหนดรู้มิใช่เพียงคำพูดอันไร้ประโยชน์อย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้กำหนดรู้แม้

สัญญามีกามสัญญาเป็นต้นด้วย กำหนดรู้นามรูปโดยทำนองเดียวกับสัญญาหรือ
โดยนัยที่กล่าวแล้วในตอนก่อนด้วยปริญญา 3 อย่าง พึงข้ามโอฆะแม 4 อย่าง
ได้ด้วยปฏิปทานี้ แต่นั้นนรชนนั้นข้ามโอฆะได้แล้ว เป็นมุนีขีณาสพ ไม่ติด
ในตัณหาและทิฏฐิ เพราะละกิเลสคือตัณหาและทิฏฐิแล้ว ถอนลูกศรออกเสีย
ได้ เพราะได้ถอนลูกศรคือกิเลสมีราคะเป็นต้นออกได้ ไม่ประมาทเที่ยวไป
เพราะมีสติไพบูลย์ หรือไม่ประมาทเที่ยวไปในส่วนเบื้องหน้า เป็นผู้ถอนลูกศร
ได้แล้ว เพราะเที่ยวไปด้วยความไม่ประมาทนั้น ไม่หวังโลกนี้และโลกหน้าอัน
ต่างด้วยอัตภาพของตนและของผู้อื่นเป็นต้น เป็นผู้ไม่ถือมั่นเพราะดับจิตดวง
สุดท้าย (จริมจิต) โดยแท้ ย่อมดับไปเหมือนไฟหมดเชื้อฉะนั้น. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงจบเทศนาลงด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัต ทรงบัญญัติไว้
เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติธรรมเท่านั้น มิใช่ให้เกิดมรรคหรือผลด้วยเทศนานี้
เพราะทรงแสดงแก่พระขีณาสพ.
จบอรรถกถาคุหัฏฐกสูตรที่ 2 แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา

ทุฏฐัฏฐกสูตรที่ 3


ว่าด้วยเดียรถีย์และมุนี


[410] เดียรถีย์บางพวก มีใจประ-
ทุษร้าย ย่อมติเตียนโดยแท้ แม้อนึ่ง พวก
ชนที่ฟังคำของเดียรถีย์เหล่านั้นแล้ว ปลงใจ
เชื่อจริง ก็ติเตียน แต่มุนีย่อมไม่เข้าถึงการ
ติเตียนที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะเหตุนั้น มุนีย่อม
ไม่มีหลักตอ คือ ราคะ โทสะ และโมหะ
ในโลกไหน ๆ.
บุคคลผู้ถูกความพอใจครอบงำแล้ว
ตั้งมั่นอยู่ในความชอบใจ จะพึงล่วงทิฏฐิของ
ตนได้อย่างไรเล่า บุคคลกระทำทิฏฐิเหล่านั้น
ให้บริบูรณ์ด้วยตนเอง รู้อย่างใด ก็พึงกล่าว
อย่างนั้น.
ผู้ใดไม่ถูกเขาถามเลย กล่าวอวดอ้าง
ศีลและวัตรของตนแก่ผู้อื่น ผู้ฉลาดทั้งหลาย
กล่าวผู้นั้นว่า ผู้ไม่มีอริยธรรม, ผู้ได้กล่าว
อวดตนด้วยตนเอง ผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าว
การอวดของผู้นั้นว่า ผู้นี้ไม่มีอริยธรรม.